ประกันสุขภาพ และ/หรือ ประกันชีวิตที่ดีที่สุด
ไม่ใช่ประกันที่เบี้ยถูก คุ้มครองสูง แต่คือการไม่ต้องใช้ประกันเสียเลย
มันเป็นไปได้มั๊ย ?
คนเราย่อมมีการเจ็บป่วยแน่ๆ เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
แต่เราสามารถ “ชะลอ” ได้ และทำให้กระบวนการนั้นมัน “ทุกข์น้อย” ได้
ขออนุญาตนำเรื่องของคุณพ่อผมมาเล่าสักหน่อยนะครับ
วันนี้ท่านไปสบายแล้ว แต่บทเรียนที่ท่านทิ้งไว้ให้ผมนั้นมีค่ามาก
ตั้งแต่ท่านเสีย ผมก็ลดน้ำหนักลงได้เยอะ
ไม่ใช่เพราะตรอมใจ แต่เพราะตระหนัก ว่าเรื่องนี้จริงจัง
คุณพ่อผมเป็นคนใช้ชีวิตเต็มที่ กิน ดื่ม สูบ ใช้ชีวิตมีความสุข
แม้ตอนหลังท่านจะเลิกดื่ม เลิกสูบมาได้เป็นสิบปี
หลังจากที่เริ่มตรวจเจอโรคหลายๆ โรค
แต่ก็ยังคงกินอย่างเต็มที่เช่นเดิม
โรคยอดฮิต ที่เป็นโรคเรื้อรังประเภทไม่ติดต่อ หรือที่เรียกกันยุคนี้ว่ากลุ่มโรค NCD
พ่อมีโอกาสได้เป็นแทบทุกโรค
เริ่มจากเบาหวาน ความดัน หัวใจ ปอด ไต
และมาเสียชีวิตด้วยโรคสุดท้ายที่รุนแรง และรวดเร็วที่สุดคือ
“มะเร็งตับ”
ถามหมอว่า พ่อก็เลิกดื่มมาตั้งหลายสิบปีแล้วทำไมยังเป็นได้
หมอบอกมันก็มีหลายสาเหตุ แต่การดื่มหนักมาก่อน มันก็เป็นสาเหตุหนึ่ง
บางอย่างมันเสื่อมแล้วเสื่อมเลย
ตลอดช่วงเวลาหลายสิบปีที่ได้เห็นพ่อป่วยด้วยโรคนั้นโรคนี้
ครอบครัวเราเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น
ตั้งแต่วันที่ตื่นเต้นและเครียดมากตอนพ่อเข้า ICU
จนถึงวันที่การเข้าออกห้อง ICU ถือเป็นเรื่องปกติ
ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมบ้านเราถึงไม่รวยสักที
เพราะหาเงินได้เท่าไร ก็จ่ายให้กับโรงพยาบาลหมด
ผมยังจำได้ว่า รูดบัตรเครดิต เต็มวงเงินทุกใบ
ยังต้องไปหาเงินสดอีกจำนวนมากมาเติม เพื่อให้พอกับค่าใช้จ่าย
ที่แย่ และทำให้ผมกลัวมากๆ ที่จะป่วย
คือการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
กินเองไม่ได้ หายใจเองไม่ได้ ขับถ่ายเองไม่ได้
ต้องให้คนมาทำให้
มันเป็นสภาพที่ถ้าท่านไม่เคยดูแลผู้ป่วยลักษณะนี้ใกล้ชิดเป็นเวลานาน
อาจจะนึกไม่ออก… มันเหมือนตายทั้งเป็นเลยทีเดียว
ในงานศพพ่อ ผมบอกกับตัวเองว่า
จะเรียนรู้จากพ่อ จะไม่ซ้ำรอยในสิ่งที่พ่อผิดพลาด จะหาสมดุลให้เจอ
มันเป็นเรื่องที่ยากมาก วันนี้ก็ยังทำได้ไม่ดี แต่มันก็ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ
เพราะพ่อเป็นอย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร ผมก็เติบโตมา และใช้ชีวิตอย่างนั้น
นิสัยเสียบางอย่าง เกิดแล้วแก้ยากมากๆ แต่มันก็หักดิบเอาได้
ทุกวันนี้ผมมีคาถา ที่ผมใช้ตรวจสอบตัวเอง
เรื่องสุขภาพ ว่าเรากำลังหลงทางอยู่มั๊ย
เพราะถ้าเราหลงไปทีละนิด ผ่านไปหลายปีมันก็จะเข้าสู่หายนะได้
ดังนั้นผมไม่ต้องการที่จะรู้ตัวปุ๊บ ก็ป่วยเลย
ผมอยากสังเกตตัวเองได้ทุกวัน ว่าเราผิดปกติรึยัง ?
“นอนอิ่ม กินดี ขี้สบาย”
คือคาถาที่ผมใช้ ทบทวนตัวเองในทุกๆ วัน
นอนอิ่ม = พักผ่อนเพียงพอ
เราโหมงานหนักเกินไปมั๊ย ?
จริงอยู่ ว่างานหนักไม่เคยฆ่าคน
แต่งานหนักเป็นเวลานานๆ ต่อเนื่องหลายๆ ปี
ฆ่าคนได้แน่ เพียงแต่ฆาตกรอาจมาในรูปอื่น
กินดี = น้ำหนักไม่เกิน
จริงๆ ก็คือต้องดูด้วยว่าเรากินของดี ของเสียไปแค่ไหน
แต่ถ้าจะดูง่ายๆ สำหรับผมผมใช้น้ำหนักตัวเองเป็นตัววัด
ผมชั่งน้ำหนักเป็นประจำ ขีดเส้นที่เหมาะสมไว้ให้มัน
เมื่อไร มันผิดปกติ ก็รีบจัดการ จะได้ไม่สะสมจนแก้ยาก
ขี้สบาย = ขับถ่ายเป็นประจำ และถ่ายมีคุณภาพ
มันอาจจะเป็นภาษาหยาบไปหน่อย
แต่ Inner Dialogue คือภาษาที่ผมพูดกับตัวเองในใจ
ก็ใช้คำว่า “ขี้” นี่แหละครับ
ผมพยายามเช็คตัวเองว่า กินเข้าไปแล้ว ขี้ออกมาบ้างมั๊ย
เป็นประจำมั๊ย และคุณภาพดีรึเปล่า
คุณภาพดีหมายถึง ไม่แข็งไป ไม่เหลวไป กลิ่นไม่เหม็นจนสังคมรังเกียจ
เชื่อว่าถ้าขับถ่ายสม่ำเสมอ ร่างกายก็ไม่หมักหมม
มันก็สะท้อนว่า ระบบกำจัดของเสียของร่างกายยังดีอยู่
ที่เล่าเรื่องนี้ เพราะผมรู้ว่าแทบทุกคนก็อยากรวย
อยากประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่คงเศร้า ถ้าตอนที่ประสบความสำเร็จ
เราดันอยู่ในสภาพเหมือนรถเก่าๆ คันหนึ่ง
เรี่ยวแรงไม่มี เงินที่หามาก็เอาไปจ่ายค่าหมอหมด
เชื่อผมสิครับ ประกันสุขภาพน่ะ
ซื้อเท่าไร ก็ไม่พอหรอก ถ้าเราเป็นโรคเรื้อรัง
“กันไว้ดีกว่าแก้”
ยังเป็นคาถาที่ไม่เก่า ยังใช้ได้แน่ๆ ครับ
ถ้าจะป่วยก็ขอให้ป่วยให้ช้า และไม่หนัก
ถ้าจะตายก็ขอให้ตายไม่ทรมาน
อยากได้ 2 อย่างนั้น มันก็ต้องเตรียมสุขภาพ และเตรียมเงินไว้คู่ๆ กันครับ
วันนี้ที่นำเรื่องพ่อมาเล่าส่วนหนึ่ง หากเป็นประโยชน์ต่อใครก็ตาม ก็ขอให้พ่อได้ส่วนแห่งความดีนี้ด้วยนะครับ
ขอให้พ่อได้เป็น “อาจารย์ใหญ่” เตือนผม เตือนคนอื่น ถึงการใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทครับ
ท่านที่สนใจว่าผมลดน้ำหนักตัวเอง จาก 87 เหลือ 70 ได้ยังไง
แค่เพียงเลือกกินให้ฉลาด มีบทเรียนให้เรียนรู้นะครับ เชิญได้ที่
http://www.a-academy.net/lifestyle/l01-eat-smart/
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ
ตอนนี้เร่งทำ calories deficit อยู่ครับ ^^
ขอบคุณครับ