ทำความผาสุขที่ตน… ช่วยคนที่ศรัทธา
เป็นคำกล่าวของ “ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว)”
ที่ผมพยายามใช้เป็นหลักคิดอยู่เสมอในการทำสิ่งต่างๆ
โดยเฉพาะงาน A-Academy จึงขอนำมาแชร์ให้ได้เรียนรู้ด้วยกันนะครับ
ทำความผาสุขที่ตน
คือดูแลตัวเองให้ดีก่อน
รักษากาย รักษาใจให้ดี ให้แข็งแรง
ทำตัวเองให้พร้อม ไม่เบียดเบียนตัวเอง
ไม่โหมงานจนหนักไม่ได้พักผ่อน
แต่ก็ไม่ขี้เกียจ อ่อนแอ ขาดความพยายาม
ช่วยคนที่ศรัทธา
คือการเลือกพิจารณาว่าจะช่วย หรือจะร่วมงานกับใคร ?
คนเรามีความเชื่อและศรัทธาต่างกัน
การต้องไปฝืนความเชื่อใคร
มันเหนื่อยกว่าการช่วยคนที่พร้อม
ที่ไม่มีทิฐิ ที่เปิดใจกับเราอยู่แล้ว
ใครที่เราช่วยไม่ไหว ก็ต้องปล่อยมือ ไม่งั้นเราก็จะจมไปด้วย
จะเมตตาคนอื่นได้นาน ก็ต้องเมตตาตนเองด้วย
นั่นทำให้ผมตั้งใจให้ A-Academy สอนอะไรง่ายๆ
ไม่เวอร์ อยู่แบบบ้านๆ ตามมีตามเกิด ไม่ต้อง Professional มาก
เพราะมันเกินกำลังผม แล้วทำแล้วตัวเองก็ไม่ผาสุข
การที่พวกเราได้มาเจอกัน มาติดตามงานกัน
ผมก็เชื่อว่า เพราะมีวาสนาต่อกัน มีศรัทธาให้กัน เคารพให้เกียรติกันและกัน
ส่วนท่านใดที่ไม่ชอบ เห็นไม่ตรง
เราก็ไม่ว่า ไม่โกรธกัน ไม่พยายามบีบบังคับกัน
สู้เดินทางที่ตัวเองมีความสุขดีกว่า
บางที ทางใครทางมัน ไม่ใช่ไม่ดีนะครับ
อาจจะดีกับทั้งคู่มากกว่าด้วยซ้ำ ^-^
ปล. ผมไม่เคยเข้าค่ายหมอเขียว แต่แฟนเคยไป และถ่ายทอดให้ผมเยอะ
ผมเรียนกับหมอเขียวทาง YouTube ล้วนๆ รักและเคารพท่าน เป็นครูชีวิตคนหนึ่งครับ -/\-
ประสบการณ์ตรง
ผมเคยเป็นวิทยากรโรคเอดส์
ผมมีความรู้เรื่องเงินและประสบการณ์ลงทุน เลยลองผันตัวเองมาสอนความรู้เรื่องเงินบ้าง โดยตั้งชื่อเรื่องว่า ร่ำรวยและเป็นสุข
ผมเขียนหนังสือเล่มหนึ่งนำไปจดลิขสิทธิ์ และนำไปให้คนโน้นคนนี้อ่าน ปรากฏว่า ส่วนใหญ่ไม่เปิดอ่าน
ผมจัดอบรมในที่ทำงาน ปรากฏว่า ไม่มีใครเข้าห้องประชุม
ผมไปเสนอตัวสอนให้เด็กนักเรียนมัธยมประชานุเคราะห์ ปรากฏว่า ผอ. ไม่สนใจ
ผมไปเสนอตัวสอนให้พนักงานเทศบาล เขาก็ไม่สนใจ
ผมต้องกลับไปนั่งคิดว่า เกิดอะไรขึ้น ผมพยายามจะให้สิ่งดีๆ กับพวกเขา แต่พวกเขาไม่สนใจ
จากการคิดวิเคราะห์ได้ข้อสรุปว่า พระพุทธเจ้าก็น่าจะประสบปัญหานี้เช่นกัน
ผมคิดว่า เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว คำว่า ตรัสรู้คือ รู้แจ้งเห็นจริง คือรู้ว่าคนเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร จึงจะเหมาะสมและมีความสุขบนหลักของเหตุและผล นั่นคือพระองค์ทรงมีความเห็นว่าคำสอนในศาสนาเดิมบางอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสม พระองค์จึงนำความรู้ใหม่บางอย่างที่คิดได้ไปสอน แต่ความรู้ใหม่ของพระองค์มันใหม่และลึกซึ้งเกินกว่าคนสมัยนั้นส่วนใหญ่จะเข้าใจ ประกอบกับพวกเขามีความรู้/ความคิด/ความเชื่อเดิมอยู่แล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าจึงไปขัดแย้งกับความเชื่อเดิม ก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจของคน เหตุการณ์จะเกิดอะไรขึ้นลองเดาเอง ผมคิดว่าพระพุทธเจ้าคงคิดว่าจะอยู่ในศาสนาเดิมไม่ได้แล้วล่ะ พระองค์จึงละศาสนาเดิมของพระองค์แล้วไปตั้งศาสนาใหม่ขึ้นมา คือ ศาสนาพุทธ นั่นเอง คำสอนของพระองค์ก็มีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ คนเชื่อก็สมัครเป็นสาวก และพระองค์คงได้ข้อคิดอีกประการ ก่อเกิดเป็นคำสอน “บัวสี่เหล่า” ความหมายในบัวสี่เหล่า คงไม่ได้หมายถึงเฉพาะสติปัญญาของคนเท่านั้น แต่อาจรวมถึงการเปิดใจด้วย
คนถึงแม้จะสติปัญญาดีแต่ไม่เปิดใจ ก็ไม่มีประโยชน์อันใด
พระพุทธเจ้าเลือกที่จะสอนคนบางกลุ่มเท่านั้น พระองค์ไม่เสียเวลากับคนที่สอนยาก หรือคนที่ไม่เต็มใจรับคำสอน
คนที่สติปัญญาดีเรียนสูงเรียนเก่งแต่ไม่เปิดใจ ก็คือคนที่ตกหลุมพลางความสำเร็จ
คนอีกกลุ่มที่ไม่เปิดใจ คือ คนที่มีอายุ สมองเป็นอัตโนมัติหรืออนุรักษ์นิยม เคยคิดอย่างไรเชื่ออย่างไรก็เป็นอย่างนั้น
ทำให้ผมได้คิดว่า ต่อไปผมจะสอนเฉพาะคนที่ยอมเสียเงินเท่านั้น เพราะแสดงว่าเขาเปิดใจแล้ว
คนพวกนี้จะกระตือรือร้น ซักถาม สอนสนุกกว่า ดีกว่าพูดอยู่คนเดียว
ช่วงหนึ่งผมมีปัญหาสุขภาพ ก็ได้คำสอนของหมอเขียวนี่แหละครับที่ช่วยเยียวยา จนหายป่วยในที่สุด
ขอยกมือเป็นแฟนครับ ของหมอเขียวและพี่เอ ครับ 🙂