ลูกผู้ชายตัวจริง… ดูที่ตรงไหน ?
ผมมักมีคำถามนี้เสมอ เวลาที่ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนๆ
โดยเฉพาะปาร์ตี้กลางคืนตามร้านอาหาร ร้านคาราโอเกะ
คำถามนี่มันจะเกิดตอนเริ่มดึก
ทุกคน (ยกเว้นผม) เริ่ม “ดื่ม”กันได้ที่ “อารมณ์กำลัง High”
ผมจะเริ่มได้ยินเสียงท้าทายกันว่า…
“เฮ้ย! ไอ้ X แก้วมึงทำไมยังเต็มอยู่วะ… ไม่หมดแก้วนี้เมิงตุ๊ด!”
(ไอ้ X นี่ไปเปลี่ยนชื่อเอาเองนะครับ ขอสงวนนามไว้…เพราะมีเยอะ)
ถ้าเป็นผมคงนึกในใจว่า “ตุ๊ดแล้วไงว๊า”
แต่ไอ้ X ของผมก็มักจะมีท่าทีโมโห ฮึดฮัด ประมาณว่า “กรูไม่ตุ๊ด”
“กรูนี่แหละ ลูกผู้ชายตัวจริง” และซัด “เครื่องดื่ม” แก้วนั้นจนหมด
ผมนั่งอยู่ทั้งคืน ก็เห็นเล่นวนกันไปมา ต่อจากไอ้ X ก็คือ น้อง Y และพี่ Z!
คำถามที่ผมคิดก็คือ… ถ้าจะไม่ตุ๊ดนี่ต้องยังไงกัน…
“ลูกผู้ชายตัวจริง มันดูกันที่ตรงไหน?”
มันก็มีหลายๆ คำตอบที่โผล่เข้ามาในใจ เช่น
เป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษบ้าง…
สามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้ไม่ลำบากบ้าง…
เป็นตำนาน เป็นวีรบุรุษบ้าง…
แต่ผมก็ยังไม่พอใจกับคำตอบอยู่ดี
จนกระทั่งอยู่ดีๆ คำตอบที่ผมชอบที่สุดก็โผล่มา และผมรู้ตัวเลยว่านี่ล่ะใช่!
ครับ! คุณสมบัตินี้… มันคือคำว่า
“สัจจะ”
นอกจากคำสั้นๆ นี้จะโผล่มา มันยังพาเหตุผลประกอบมาด้วยเป็นชุดๆ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากจะชวนทุกท่าน ทั้งลูกผู้ชาย (และลูกผู้หญิง และเพศอื่นๆ)
คิดตามกันไปว่า ที่ผมคิดมันถูกรึเปล่า ?
คนมีสัจจะทำให้เรา “สบายใจที่จะอยู่ด้วย”
เค้าอาจจะคารมไม่ค่อยดี พูดไม่เพราะ แต่ไม่เคยทำให้เราเดือดร้อน
สัจจะ ทำให้เค้าเป็นคนที่ให้ความเคารพและ “ตรงต่อเวลา”
นัดตอนไหน มาตอนนั้น ไม่ให้เราต้องรอ ไม่ให้งานต้องช้า
สัจจะ ทำให้เค้าเป็นคนที่เราสามารถ “พึ่งพิงได้”
เพราะพูดคำไหนก็เป็นคำนั้น ถ้าบอกว่าจะทำเมื่อไร ก็จะพยายามทำให้มันได้
ถ้าทำไม่ได้เค้าก็จะไม่รับปากตั้งแต่ต้น…
ไม่ปล่อยให้เราเข้าใจผิด แล้วไปรู้ตัวว่าซวยเอาทีหลัง
เค้าสามารถจะ “สัตย์ซื่อได้… แม้แต่กับสิ่งเล็กๆ!”
ณ บัดนั้น… ผมบอกกับตัวเองว่า
“เฮ้ย… เราต้องเป็นคนที่เจ๋งแบบนั้นให้ได้!”
และแล้วการเปลี่ยนแปลงก็เริ่มเกิดขึ้น…
มันไม่ใช่เรื่องง่าย… แต่ก็ไม่ยากที่จะยึดถือเอา “สัจจะ”
เป็นปรัชญาในการดำเนินชีวิต
ผมเริ่มสำรวจว่า “ไปรับปากอะไรใครไว้ แล้วยังไม่ทำให้เค้ารึเปล่า”
ถ้ายังมีโอกาสทำให้มันสำเร็จได้ตามที่รับปากไว้ ผมจะทำให้ได้
ผมเริ่มรับปากใครๆ ช้าลง เมื่อก่อนเอะอะก็ “ครับๆ” ไปก่อน
เดี๋ยวนี้ถ้าไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้ ผมจะไม่รับปากเด็ดขาด
หลังๆ เริ่มฉลาด ก็จะต่อรองให้เรียบร้อยตั้งแต่แรก
ว่าขอบเขตเท่าไหนที่เราพอจะรับไหว… เพราะพูดไปแล้วต้องทำให้ได้
ผมเริ่มให้ความสำคัญกับการ “เคารพเวลาของผู้อื่น”
เมื่อก่อนถ้ามีนัดมักจะคิดว่า
“ไปถึงให้ใกล้ๆ กับเวลาที่นัดไว้ก็โอเคแล้ว การจราจรกรุงเทพฯ ก็รู้ๆ กันอยู่
เลทบ้างก็เข้าใจกันได้ เผื่อเวลามากไป เราเองก็อยากตื่นสายเหมือนกัน”
ก็เปลี่ยนเป็น
“ต้องไปให้ถึงตามเวลาที่นัดให้ได้ รถติดไม่ใช่ข้ออ้าง เราจัดการได้เสมอ
เรื่องนี้มันสำคัญ เป็นสิ่งที่เราอยากแสดงออกให้อีกฝ่ายได้เห็นว่าเราตั้งใจ”
ผมทำแค่นี้จริงๆ… แต่ทำไม่หยุด!
ผ่านไปหลายเดือน หลายปีเข้า ผมเริ่มค้นพบวิธีการใช้ “สัจจะ”
ที่ผมสร้างขึ้นมาเป็นนิสัย ได้แบบขั้น Advanced!
ผมค้นพบว่าถ้าอยากทำอะไรให้ได้ ผมก็แค่ “ลั่นวาจา” หรือพูดออกไปก็พอ
ถ้าใครอยู่ใกล้ผมและสนิทกับผมระดับนึง ก็จะเริ่มเห็นว่า
ไอ้บ้านี่… มันชอบพูดเพ้อเจ้อว่าจะทำนั่นทำนี่
หรือเพ้อฝันว่าจะชนะการแข่งขันอันนั้นอันนี้
จะรีบเกษียณ… จะลงทุนสำเร็จอย่างนั้นอย่างนี้
ต่อมาผมเริ่มพบว่า “เฮ้ย ไม่ต้องพูดออกไปดังๆ ก็ได้ผลเหมือนกันแฮะ”
คือแค่ “พูดกับตัวเองดังๆ… ในใจ” ผมก็รู้สึกว่าเป็นสัจจะ
เป็นพันธะที่ต้องทำให้สำเร็จแล้ว
ซึ่งนั่นก็ทำให้… ผมเริ่มเพ้อเจ้อ หรือโม้น้อยลงเยอะ 😛
จนถึงปัจจุบันน่าจะ 5-6 ปีแล้ว มีสิ่งมหัศจรรย์ที่ผมสังเกตได้
มันอาจจะไม่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดเป็น “วาจาสิทธิ์”
ที่พอพูดอะไรแล้วจะเกิดสิ่งนั้นขึ้นจริง
แต่ผมสัมผัสได้จริงๆ ว่าคำพูดของผมช่วงหลังๆ นี้ เริ่ม “มีพลัง” มากขึ้น
ด้วยลักษณะงานที่ผมต้องสื่อสารกับคนเยอะๆ พูดกับคนบ่อยๆ
ผมเริ่มสัมผัสได้ว่า
“เฮ้ย… จริงๆ แล้วเราก็พูดเหมือนวิทยากรท่านอื่นๆ เลย
แต่ทำไมผู้ฟังดูจะเข้าใจสิ่งที่เราพูดได้ดีกว่า แถมดูเหมือนจะชอบ
และไม่เบื่อสิ่งที่เราพูด… ทั้งๆ ที่เราพูดน้ำมากกว่าเนื้อเป็นประจำ”
เวลาคุยกับลูกค้า (เมื่อก่อนผมทำงานเป็นที่ปรึกษาการลงทุน)
บางอย่างแค่เราพูดสั้นๆ เค้าก็เชื่อมั่นในความเห็นเราแล้ว
ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเอง…
แต่ผมเชื่อว่ามันเป็น “กำลัง” เป็น “บารมี” ที่เกิดขึ้น
จากการที่เราพยายามรักษาสัจจะได้เป็นอย่างดี และทำได้ต่อเนื่อง
ซึ่งแน่นอนว่า ทำได้ไม่มีทาง Perfect หรอกครับ
แต่เราผิดแล้ว ถ้าแก้ทัน ก็แก้ไขในครานั้น
ถ้าแก้ไม่ทัน เราก็จะยิ่งเพิ่มความระมัดระวัง ไม่ให้ผิดพลาดอีก
ผมตั้งใจเขียนเรื่อง “สัจจะ” นี้
เพื่ออยากให้ทุกท่าน ตระหนักถึงความสำคัญของการพูด การให้คำมั่นสัญญา
ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองมั๊ย แต่ผมรู้สึกว่า
“นับวันเรายิ่งเชื่อถือคำพูดของกันและกันไม่ค่อยได้”
เรากลายเป็นคน “ปากเบา”
เอะอะ ก็เออออ ห่อหมก รับปากไปมั่วๆ พอให้ตัวรอด
ซึ่งผมมั่นใจว่า คุณสมบัตินี้ถ้าพัฒนาขึ้นมากับตัวได้
จะช่วยสร้างความแตกต่างให้กับชีวิตของทุกท่านได้แน่นอน
ถ้าท่านทำงานกินเงินเดือน ผมเชื่อว่านายจะรักและเชื่อมั่นในท่านมากขึ้น
ถ้าท่านเป็นเจ้าของธุรกิจ ลูกค้าจะอยู่กับท่าน แม้คู่แข่งจะตัดราคาแข่ง
ถ้าท่านเป็นพ่อแม่ ลูกหลานจะเชื่อฟัง และมองท่านเป็นแบบอย่าง
สรุปแล้ว… เรามาสร้าง “สัจจะ”
เพื่อพัฒนาเป็นลูกผู้ชาย (และลูกผู้หญิง) ตัวจริงกันนะครับ!
โพสครั้งแรกใน A-Academy FB Page เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 57
ข้อนี้เห็นด้วยอย่งยิ่งครับ