ในหัวของเรานั้นมี “ความคิด” หรือ “ความเชื่อ” ผิดๆ ที่มันคอยปิดกั้นเรา
จากการได้ “ปลดปล่อยศักยภาพ” ของเราอยู่ มันเป็นความคิดเล็กๆ ที่ฝรั่งเรียกว่า

Limiting Beliefs

ที่เพียงเราปลดล๊อคความคิดนี้ได้ ปรับเปลี่ยนความเชื่อได้
เราจะพบว่าเราทำอะไรได้อีกมากมาย… ที่เราไม่เคยทำมาก่อน


สาเหตุที่ผมอยากเขียนถึงเรื่อง Limiting Beliefs ก็เพราะผมเองเพิ่งจะถูก “ทะลวงจุด“เพื่อสลายกำแพงความเชื่อผิดๆ นี้ไปอีกหนึ่งความเชื่อ เมื่อไม่กี่วันมานี้

หลังจากเปิด A-Academy เวอร์ชั่นปรับปรุงใหม่มาได้เดือนเศษผมครุ่นคิดอยู่ตลอดว่า จะทำยังไงให้บทเรียนและความรู้ต่างๆ ที่ผมทำขึ้นได้มีคนมาใช้ประโยชน์จากมันเยอะๆ

หนึ่งในวิธีการที่นิยมทำกันโดยทั่วไปก็คือ การ “จ่ายเงิน” เพื่อโปรโมตเพจ เว็บ และเนื้อหาต่างๆซึ่งผมเคยคิดว่ามันเป็นวิธีการที่ “สกปรก” และตัวผมเองเคยรู้สึกไม่ดีทุกครั้งเวลาที่เห็นโพสหรือโฆษณาของคนอื่นใน Facebook ที่ขึ้นอักษรกำกับว่า “Sponsored“ซึ่งแปลว่าที่เราเห็นโพสนี้ เพจนี้ ก็เพราะเค้าจ่ายเงิน “ซื้อมันมา

ผมเคยเชื่อว่า การจ่ายเงินซื้อโฆษณาแบบนั้น มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์
เป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยนที่นักธุรกิจ ยอมจ่าย เพื่อให้คนเข้ามาซื้อของ ซื้อคอร์สอบรม ซื้อบริการต่างๆแต่ผมคิดว่า “A-Academy ไม่ใช่” เว็บนี้ตั้งใจทำฟรี 100% และตั้งใจจะแชร์ความรู้ที่ดีที่สุด โดยไม่กั๊กอะไรไว้
การจ่ายเงินเพื่อซื้อโฆษณามันเป็นสิ่งที่ผมเชื่อว่า “เรากำลังทำเพื่อผลประโยชน์เข้าตัว“ไม่ใช่เป็นการให้ “อย่างบริสุทธิ์ใจ” อย่างที่เราอยากทำ

พอโพสต่างๆ บทเรียนต่างๆ มีคนเรียนน้อย ผมก็เป็นทุกข์ “คิดไม่ตก” ว่าจะทำยังไง
จนผมได้คุยกับ พี่เวลล์ (Kitsda Theerasupaluck) รุ่นพี่ที่ผมเคยได้แชร์ความรู้เรื่องการเงินให้เมื่อ 2-3 ปีก่อนซึ่งร้อยวันพันปีเราไม่เคยติดต่อกัน แต่เหมือนฟ้าประทาน เพราะพี่เค้าโทรมาหาผมเองและการคุยกันประมาณชั่วโมงเศษนั้น… ได้ “ปลดล๊อค” ความเชื่อผิดๆ นี้ของผมอย่างสิ้นเชิง

พี่เวลล์ชวนผมคิดง่ายๆ ว่าการจ่ายเงินซื้อโฆษณานั้น
เราจ่ายด้วย “ความอยากจะให้” ไม่ใช่เพราะความละโมภอยากจะเอา
และการจ่ายของเรานั้น จะเป็นประโยชน์กับคนจำนวนมาก ไม่ใช่ประโยชน์กับเราคนเดียว
ให้นึกถึงการที่เวลาผมไปบรรยายที่ไหน ผมก็ต้องมีค่าใช้จ่าย เช่นค่าเดินทาง ค่าเตรียมการต่างๆ เหมือนกัน
และการจ่ายเพื่อซื้อโฆษณานี้มันจะต่างอะไรตรงไหน ทำไมผมถึงจะไม่ทำ ?

ประโยคง่ายๆ จากสายตาคนวงนอก ซึ่งเห็นภาพใหญ่กว่า ได้ช่วย “จูงความคิด” ผม
ออกจาก “พันธนาการ” คือความเชื่อผิดๆ ชุดนั้นได้อย่างง่ายดาย
พี่เวลล์ถามผมว่า “มึงหยุดเถียงกับตัวเองแล้วใช่มั๊ย ?” และคำตอบคือ “ใช่ครับ!

คืนนั้นผมลงโฆษณาใน Facebook ทันที และวันต่อมาพี่เวลล์ยังโทรมาถามว่าเป็นยังไงตอนนี้ผม Happy ขึ้นเยอะครับ ผมจ่ายเงินไปน้อยกว่าค่าน้ำมันรถเวลาที่ไปบรรยายไกลๆแต่เพจ A-Academy ก็มีเพื่อนๆ มา Like มากขึ้นกว่า 1,000 คน ในเวลาแค่ 1 สัปดาห์บทเรียนดีๆ ก็ Reach คนจำนวนมากขึ้น 3-5 เท่า กว่าก่อนทำ ^^


จบเรื่องของผมแล้ว ต่อไปเป็นเรื่องของทุกท่านครับ!

ผมเองยังมี Limiting Beliefs อีกเยอะที่ต้องทยอยปลดออก
และผมคิดว่า ทุกท่านเองก็มีเช่นกัน และจากประสบการณ์ที่ผมเพิ่งได้รับนั้น

ผมมั่นใจว่าการ “ตระหนักรู้” หรือการมี “Awareness” ถึง Limiting Beliefs ที่เรามี
ถือเป็น ขั้นตอนแรกสุด และสำคัญที่สุด ในการจะทลายความเชื่อผิดๆ นั้นได้

ผมจึงขอยกตัวอย่าง Limiting Beliefs ที่ผมมีโอกาสได้พบเจอบ่อยๆ
มาเล่าให้ทุกท่านฟัง เพื่อคิดตามว่าท่านมีชุดความเชื่อผิดๆ เหล่านี้หรือไม่ ถ้ามีจะได้ปรับเปลี่ยนมันต่อไปได้ครับ


5 ความเชื่อผิดๆ (Limiting Beliefs) ที่กดศักยภาพของคนทำงานยุคนี้เอาไว้!


1. เป็นมนุษย์เงินเดือนไม่มีทางรวยได้ ต้องออกไปทำธุรกิจเท่านั้น

ทำธุรกิจก็รวยได้ และเจ๊งได้ครับ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ เจ๊งมากกว่าด้วยซ้ำ
เช่นเดียวกันครับ มนุษย์เงินเดือน ก็จนได้ และรวยได้เช่นกัน

มันอยู่ที่วิธีการจัดการ” และอีกหลายๆ ปัจจัย

เรามีศักยภาพมากเพียงพอรึเปล่า ภาษาได้มั๊ย คิดเก่งมั๊ย สื่อสารดีมั๊ย ทักษะเฉพาะทางในงานที่ทำมีมั๊ย เพราะผมเคยเห็นมนุษย์เงินเดือนที่มีคุณสมบัติเหล่านี้  “พุ่งพรวด” ในหน้าที่การงานมาหลายคนแล้ว

บางคนเริ่มต้นงานด้วยเงินเดือนใกล้ค่าจ้างขั้นต่ำของ ป.ตรี
แค่ 3-4 ปีผ่านไป อายุเพิ่งจะพ้นวัยเบญจเพศ (25 ปี) ก็มีเงินเดือนเกินครึ่งแสน

บางคนเงินเดือนขึ้นปีละมากกว่า 1 ครั้ง ทั้งที่บริษัทนี้ตามธรรมเนียมจะขึ้นปีละครั้งเท่านั้น

บางคนย้ายงานเงินเดือนกระโดดมากกว่า 100%

บางคนทำงาน 1 ปี ได้รายได้ 2 ปี หรือมากกว่านั้น (เพราะโบนัสเกิน 12 เดือน)

บางคนอายุยังไม่แตะ 40 เงินเดือนก็เกิน 2 แสน

เหล่านี้มันอาจจะเทียบไม่ได้ กับนักธุรกิจส่วนตัวที่ประสบความสำเร็จ
แต่ถ้าเทียบกับคนที่เจ๊ง หรือคนที่ธุรกิจยังไม่ประสบความสำเร็จ มันดีกว่าเยอะครับ

คำถามสำคัญคือ เราได้ “ปลุกเสก” ตัวเรา พัฒนาทักษะตัวเองรึยัง
และถ้ากำลังบ่นในใจอยู่ว่า “พวกนั้นมันคนส่วนน้อย” เอามาเล่าแต่เคสดีๆ
ผมอยากให้ “หยุดเสียที!” ครับ หยุดบ่น แล้วมาเป็นคนส่วนน้อยดีกว่ามั๊ย ?

(อันที่จริงๆ ต่อให้ไม่ได้มีรายได้ สูงลิ่ว ก็ยังรวยได้ มั่นคงได้อยู่ดีนะครับ
ผมเคยพูดในบทเรียนนี้ “แนวคิด : คนธรรมดามีฐานะมั่นคงได้… ด้วยการลงทุน” ลองศึกษาดูครับ)


2. อยากทำสิ่งนั้นสิ่งนี้จัง… แต่เรียนมาไม่ตรงสาย/ไม่ได้เรียนมา/จบสถาบันไม่ดัง/ไม่มีความรู้

อยากบอกว่า ถ้าเชื่อแบบนี้ก็ถือว่า “น่าเศร้ามาก
เท่ากับว่าเรากำลัง “จำกัดตัวเอง” อยู่กับเพียงแค่ปริญญา คุณวุฒิ หรือกระดาษไม่กี่ใบ
เอาจริงๆ นะครับ… มันมีโอกาสให้เราเสมอ ถ้าเราทำตัวให้ “คู่ควร” ต่อโอกาสนั้น

ผมเคยเห็นแม่บ้านทำความสะอาดออฟฟิสหน้าตาอีสานๆ ผิวคล้ำๆ
ที่ปฏิวัติตัวเอง หน้ามือเป็นหลังมือ มาเป็น Customer Service Representative ดูแลลูกค้า และให้คำแนะนำด้านการลงทุนมาแล้ว (ทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่)

ผมเห็นผู้บริหารระดับสูงหลายท่าน หลายบริษัท ไม่เห็นจะเรียนตรงสาย จบสถาบันก็ธรรมดามาก

ผมเคยได้ข่าว และได้พบนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
และสาขาที่เค้าเรียนไม่เกี่ยวกับตัวเลขเลย หรือบางท่านทำอาชีพเป็น “มอเตอร์ไซค์รับจ้าง” ด้วยซ้ำ

คนเราเรียนรู้ได้ครับ และ “เราเป็นผู้กำหนดค่าของเรา
ถ้าบางคนจะมองไม่เห็นก็ช่างเค้า ทำตัวเราให้เปล่งประกายแรงขึ้น สุดท้ายก็จะมีคนเห็นเอง หรือถ้า Proactive ก็ไป “เสนอหน้า” หรือขอโอกาสจากเขาก่อนเลยไม่ต้องรอ


3. พวกที่คิด/พูดถึงแต่เรื่องเงินนี่น่าเบื่อ น่ารังเกียจ เป็นพวกทุนนิยม ชีวิตไม่มีความสุข

ผมเองก็รังเกียจนะครับ คนที่รวยแล้ว ยิ่งเอาเข้าตัวมากขึ้น ไม่แบ่งปัน ไม่ช่วยเหลือใครบ้างเลย

แต่นั้นก็เป็นเพียงบางคนครับ ยังมีคนรวยอีกจำนวนมากที่ “ดีจนน่าขนลุก
เหมือนความรวยของเค้านั้น มีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือ ให้เค้าสร้างความดีได้มากขึ้นไปเรื่อยๆ และยิ่งทำดีเท่าไร เค้าก็ยิ่งรวยขึ้น รวยขึ้น

หยุดเถอะครับ… การมองว่าคนรวยนั้นเลว มันจะเป็น “ข้ออ้าง” ที่ปิดกั้นเราไว้ ไม่ให้รวยได้อย่างเค้า

ลองเปลี่ยนเป็นร่วม “ยินดี” กับสิ่งที่เค้ามีในวันนี้ และศึกษาที่มาที่ไปของเค้า

ถ้าเค้าสร้างตัวได้เองในรุ่นของเค้า เราก็ชื่นชม แล้วมองเค้าเป็นแบบอย่าง เรียนรู้ว่าเค้าทำมาอย่างไร อดทนแค่ไหน

ถ้าเค้ารับมรดกมา รวยตั้งแต่เกิด เราก็ชื่นชม
เรียนรู้จากรุ่นพ่อแม่เค้า ว่าเตรียมอะไรไว้บ้าง เราจะได้เตรียมให้กับลูกหลานเราแบบนี้บ้าง

แต่ถ้าเค้ารวยมาด้วยวิธีผิดๆ ก็อย่าไปเลียนแบบก็แล้วกันครับ!

อย่างน้อยทำได้ประมาณนี้ เราจะไม่มีอคติผิดๆ กับความร่ำรวย
ขั้นต่อไปก็คือต้องคิดต่อล่ะครับ ว่าแล้วเราจะทำอะไรต่อเพื่อจะเป็นได้แบบเค้าบ้าง


4. ภาษาอังกฤษ ถ้าไม่ได้เรียนนอก / ไม่ได้เรียนอินเตอร์ / ไม่ได้ไปต่างประเทศ ยังไงก็ไม่เก่ง

นี่ก็เป็นความเชื่ออีกอย่างที่ “ไม่จริง” ครับ

ผมเคยเห็นหลายคนที่ได้ทำทุกๆ อย่างข้างต้น ภาษาอังกฤษยังแย่กว่าผมก็มี
ทั้งๆ ที่ผมก็เรียนและฝึกในไทยมาตลอด ไม่เคยเรียนอินเตอร์ ไม่เคยไปเรียนเมืองนอก

มันอยู่ที่ความ “ใส่ใจ” และความ “พยายาม” ของเรามากกว่า
ช่องทางศึกษาเดี๋ยวนี้มีล้นอินเตอร์เน็ตครับ

ผมฟันธงว่าเรื่องภาษานี่จะสำคัญแน่ๆ  เพราะทุกวันนี้ การสื่อสารในองค์กร
การประชุมผู้บริหารระดับกลาง-สูงขึ้นไป ก็ใช้ภาษาอังกฤษหมดแล้ว…

ดังนั้น ฝึกตั้งแต่วันนี้ ดีกว่าไปบ่นทีหลังว่า “คนไทยแท้ๆ ทำไมต้องใช้ภาษาอังกฤษด้วย

และถ้าวันนี้ยังไม่ได้ ยังไม่ดี ถามตัวเองเถอะครับว่า “เคยจริงจังกับมันแค่ไหน ?


5. เธอพูดเถอะ เราพูดไม่เก่ง เราเขิน เราอาย เรากลัว เราชอบทำงานเบื้องหลัง

ผมเชื่ออย่างสนิทใจครับว่าคนที่ “พูดเก่ง” หรือ “พรีเซ้นต์เก่ง” นั้น จะก้าวหน้าได้เร็วมาก ขณะที่พูดนายจะเห็นเรา ลูกค้าจะเห็นเรา และเค้าตัดสินเราจากตรงนั้นเสียเยอะ

การพูดทุกครั้ง มันไม่ได้สื่อสารแค่งานที่เราพูด แต่มันขายตัวของผู้พูดด้วย

ข้อความเดียวกัน แต่คนที่สื่อสารเก่ง จะสามารถ “ส่งผ่านความเชื่อ” ไปยังผู้อื่นได้มากกว่า ขายของได้มากกว่า ประสานงานได้ดีกว่า ปลุกขวัญและกำลังใจได้แรงกว่า

คงเคยได้ยินใช่มั๊ยครับว่า “ทำงานมาแทบตาย สุดท้ายคนพรีเซ้นต์เก่ง เอาผลงานไปหมด
ไม่อยากเป็นแบบนั้น ก็ต้องฝึกฝนครับ ถ้าเราทำงานเบื้องหลังก็ได้ ทำงานเบื้องหน้าก็ดี ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ก้าวหน้า

วิธีแก้ความกลัวที่ดีที่สุด คือการ “ทำทั้งๆ ที่กลัว” ทำจนรู้ว่า พูดแล้วมันไม่ตายหรอก

วิธีแก้ความไม่เก่งได้ดีที่สุด คือการ “เรียนรู้กับคนเก่งๆ
เรียนฟรีก็ได้ ด้วยการแอบสังเกตคนอื่นๆ ผมเองยังฝึกพูดตามแนวนักพูดที่เก่งๆ ใน Youtube เลย

หนังสือ หรือที่ๆ เค้าสอนพูดแบบจริงๆ จังๆ ก็มีครับ

ถ้าเชื่อว่ามันสำคัญก็ “ขวนขวาย” เถอะครับ!


นอกจากตัวอย่างข้างต้น ก็ยังมี Limiting Beliefs อีกมากมายที่ซ่อนอยู่ในใจเรานะครับ
แต่สิ่งที่คล้ายๆ กันก็คือ ความเชื่อเหล่านั้น ถ้าเรา “ปลดล๊อค” มันได้
เราก็จะพบว่า จริงๆ แล้ว เราทำอะไรได้อีกตั้งหลายอย่าง… เมื่อก่อนเรามัวทำอะไรอยู่ !?

บางทีแค่เปลี่ยนความเชื่อ หรือความคิดเห็นที่เรามีให้ต่อบางอย่าง ก็มีความสุขขึ้นได้ทันที

ความเชื่อบางอย่างเปลี่ยนง่าย… คือ แค่รู้ก็เปลี่ยนได้เลย

ความเชื่อบางอย่างเปลี่ยนยาก บางทีต้องลองลงมือทำทั้งๆ ที่ยังไม่เชื่อนั่นแหละ
ถ้าทำแล้วเห็นผลจริง “ความเชื่อชุดเก่าที่ไม่ถูกต้อง มันก็จะถูกแทนที่ด้วยความจริง” ที่เราได้สัมผัสเอง

การได้คุยกับผู้ที่รู้มากกว่า ผ่านประสบการณ์มาก่อน และยิ่งเป็นคนที่เราเคารพเชื่อถือ
แล้วเค้าพูด Unlock Words ให้เราคิดตาม ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งในการเปลี่ยนความเชื่อผิดๆ อย่างที่ผมเพิ่งจะได้รับการปลดล๊อคมาครับ!


โพสครั้งแรกใน A-Academy FB Page  เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 57

4 COMMENTS

  1. ผมชื่นชอบกระบวนการคิด วิธีการนำเสนอ บทเรียนต่างๆของพี่มากเลยครับ ตอนนี้ผมอยู่ปี2 แต่ผมเชื่อ เชื่อว่าทุกสิ่งที่พี่มอบให้ทุกคน เป็นประโยชน์ทุกอย่าง ผมจะพยายามพัฒนาตัวเองให้ได้ ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจนะครับพี่

  2. เพิ่งรู้จักเพจ ก็วันนี้ ตอนนี้เอง เสียดายจัง ที่รู้จักช้าไป.

    แต่ จะติดตามผลงาน บทความ ให้ครบเลย. มีประโยชน์มากเลยค่ะ

    ขอบคุณมากนะคะ

Comments are closed.