ฺBook of the Month : ธันวาคม 2557

Book of the Month

เปลี่ยนชีวิตสู่ความร่ำรวย
Financial Freedom is Possible

แต่งโดย

โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์

ความในใจของผมเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้

[testimonial author=”เอ (ศักดา สรรพปัญญาวงศ์)“]

ถ้าใครกำลังมองหาหนังสือ “How-to” ไปสู่ความร่ำรวย และอิสรภาพ ทางการเงิน
ต้องบอกว่าหนังสือเล่มนี้คงจะไม่ตอบโจทย์เท่าใดนัก
เพราะหนังสือเล่มนี้มุ่งเน้นไปที่การปรับ “วิธีคิด” และ “ทัศนคติ” ต่อเรื่อง “เงิน” และ “ชีวิต” เป็นหลัก

โค้ชหนุ่มใช้ข้อความ ง่ายๆ ตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
ซึ่งตกผลึกจากประสบการณ์ การเป็นผู้แปล ผู้แต่ง วิทยากร อาจารย์ และ โค้ชการเงิน นับเป็นสิบๆ ปี
เพื่อชวนให้เราคิดและมองย้อนเข้าไปข้างในตัวเรา

หลายๆ ข้อความทำเอาผมสะดุ้ง เพราะมันแทงใจดำ ทำให้ผมเห็น “ความอ่อนแอทางการเงิน” ของตัวเอง

บางข้อความ ก็ทำเอาผมโมโห  จนพึมพำในใจว่า “ไม่ต้องตอกย้ำกันขนาดนี้ก็ได้… ตูเชื่อแล้ว

สรุป… ลองอ่านดูเถอะครับ แล้วจะรู้ว่าชายที่กล้าเอาหน้าตัวเองยิ้มหรา บนหน้าปกหนังสือคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา
และจะได้รู้ด้วยว่า ความร่ำรวย และ อิสรภาพทางการเงินนั้น ใครๆ ก็สร้างได้ ถ้ามีวิธีคิดและทัศนคติที่ถูกต้อง
[/testimonial]

ร่วมสนุกชิงรางวัล

ร่วมสนุกรับหนังสือดีๆ เล่มนี้ส่งไปให้อ่านฟรีถึงบ้าน เพียงตอบคำถามว่า

อะไรเป็นสาเหตุที่ฉุดรั้งคุณไว้ จากความเจริญก้าวหน้าต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องชีวิต ฯลฯ ?
(หากสามารถยกตัวอย่างเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นด้วย จะดีมากๆ ครับ)

ขอให้โพสตอบกลับมา ภายในวันอาทิตย์ที่ 7 ธ.ค. 57 เวลา 22.00
ผู้โชคดี 10 ท่านจะได้รับหนังสือดีๆ เล่มนี้ ส่งไปให้อ่านฟรีถึงบ้านเลยครับ!

รายชื่อผู้ได้รับรางวัล

  1. Dulish Chelsea  (กรุณาติดต่อเพื่อรับหนังสือด้วยครับ)
  2. Kevin Chamberlain
  3. Kritsada Tanhaseng
  4. Nut Chinnagit
  5. Ruth Rakngarm  (กรุณาติดต่อเพื่อรับหนังสือด้วยครับ)
  6. Stang Khab
  7. Three-Tham Tham  (กรุณาติดต่อเพื่อรับหนังสือด้วยครับ)
  8. โดย ขะน้อย
  9. ใจเย็น เย็นใจ
  10. ณัฏฐ์ มานะชญานันฐ์

5 COMMENTS

  1. อะไรเป็นสาเหตุที่ฉุดรั้งคุณไว้ จากความเจริญก้าวหน้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องชีวิต ฯลฯ ?
    (หากสามารถยกตัวอย่างเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นด้วย จะดีมากๆ ครับ)

    เรื่องที่ฉุดรั้งผมคือไม่มีเป้าหมายในชีวิตครับ เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ เล่นเกมส์ ดูหนังฟังเพลง ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็เอาแต่เล่นๆ(ผมเป็นคนไม่เที่ยวนะครับ แต่ว่าติดเกมส์หนักมาก จนแทบไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลย) ไม่เคยคิดถึงอนาคต อยู่ไปวันๆคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว มีกินมีใช้ ยังไงก็ขอพ่อแม่ได้ เรื่องความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว สุขภาพ เงินออม การเรียนแย่หมดทุกอย่างครับ จนถึงขนาดว่างงานเกือบ 1 ปีหลังเรียนจบก็ไม่คิดจะหางานทำ อยากจะเรียนต่ออย่างเดียวเพราะคิดว่ามันสบายกว่าทำงานเยอะ ขอตังพ่อแม่ไปใช้ได้อีก 2 ปี

    วันนึงจุดเปลี่ยนก็มาถึง เพื่อนสนิทของผมเริ่มทำงานกันหมด มีเงินใช้เอง ดูมีอนาคตแต่ผมกลับมามองตัวเองคนละเรื่องเลยครับ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ความรู้ที่เรียนมาจากปริญญาตรีแบบให้มันจบๆไปแทบไม่มีในหัวสมอง เงินต้องขอพ่อแม่ไปวันๆ(ที่บ้านไม่ได้ร่ำรวยเลยนะครับ ฐานะปานกลาง ข้าราชการชนชั้นกลางธรรมดาๆ) ในตอนนั้นรู้สึกแย่มากครับ อยากมีรายได้ หาเงินใช้เอง อยากพัฒนาตัวเองให้มีความรู้มีความสามารถ อยากเป็นที่ยอมรับของคนอื่น

    หลังจากนั้นผมพยายามปรับปรุงตัวเองครั้งใหญ่ น่าจะครั้งที่เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมเป็นผู้เป็นคนมาได้เลยล่ะครับ พยายามหาหนังสือการจัดการการเงินส่วนบุคคลมาอ่าน(จำได้ว่าเป็นวิชาเดียวในตอนเรียนปริญญาตรีที่รู้สึกว่าชอบ) หนังสือปรับทัศนคติ เปลี่ยนมุมมองในชีวิต เปลี่ยนความคิดเก่าๆ พยายามปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ อยากทำอะไรก็ตามให้มันออกมาดีที่สุด

    ที่ผมอยากร่วมสนุกเพื่อชิงรางวัลเพราะคนเขียนหนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมตั้งเป้าหมายในชีวิตด้วยครับ ผมรู้จักเพราะช่องใน Youtube เพราะรายการคล้ายๆกับช่อง A Academy เมื่อฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นรายการที่ทำเรื่องเงินให้เป็นเรื่องง่ายและมีแง่คิดรวมถึงทัศนคติในการดำเนินชีวิตครับ

    ——————————————————————–
    ขอนอกเรื่องนิดหน่อยนะครับ ถ้าคุณ A ได้มีโอกาสอ่านโพสนี้ ผมอยากบอกว่า”ขอบคุณมากๆครับที่ทำรายการดีๆให้ได้รับชม และเป็นกำลังใจให้ผลิตรายการดีๆต่อไปนานครับ”

  2. สำหรับผมคือ “ความกลัว” ครับ
    กลัวที่จะเปลี่ยนแปลงต่างๆ กลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เช่น เรื่องการงาน ผมอยากเปลี่ยนงานมาตลอดชีวิตการทำงานของผม แต่กลัวที่จะต้องเริ่มต้นใหม่ อยากออกมาทำธุรกิจเอง ก็กลัวว่าจะไม่เป็นไปอย่างที่หวัง อยากลงทุน ก็กลัวจะลงทุนผิดพลาด
    แต่ทุกวันนี้ พยายามหยุด “ความกลัว” ด้วย “ความรู้” ครับ อย่างน้อยตอนนี้ก็ได้ลองเริ่มลงทุนอย่างจริงจัง โดยหวังผลในระยะยาว ถึงแม้จะยังทำงานที่เดิม แต่ก็เริ่มรู้สึกว่าชีวิตมีความหวังมากขึ้นครับ

  3. อะไรเป็นสาเหตุที่ฉุดรั้งคุณไว้ จากความเจริญก้าวหน้าต่างๆ

    โดยส่วนตัว สิ่งที่ฉุดรั้งเราจากความเจริญก้าวหน้า คือ 1. การที่ไม่มีเป้าหมายชัดเจนว่าเราจะทำอะไรไปเพื่ออะไร 2. ทัศนคติด้านความกลัวไม่กล้าเสี่ยง 3. ความขี้เกียจ พอลำบากมากๆก็ไม่รู้ว่าจะลำบากไปเพื่ออะไร ก็ต้องย้อนกลับไปข้อ 1 เพราะเป้าหมายมันไม่ชัดเจน 4. สุขภาพร่างกายและจิตใจ เพราะเป็นคนกล้ามเนื้อเกร็งตัวง่าย ทำให้ปวดคอปวดหัวปวดหลังเป็นประจำและเป็นคนไม่ค่อยปล่อยวาง เวลาทำงานก็มักจะเก็บไปฝัน

    ชีวิตจริงก็เกิดในครอบครัวคนจีนฐานะปานกลาง ที่บ้านมีกิจการที่บุกเบิกมาตั้งแต่รุ่นอากง ไม่ได้ขัดสนแต่ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ ถูกสอนให้ขยัน อดทน เก็บหอมรอบริบ และ ประหยัด ตั้งแต่ทำงานมาก็ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรชัดเจนนอกจากเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆที่ให้เงินเดือนที่สูงขึ้น ทำให้เปลี่ยนสายงานไปค่อนข้างหลากหลาย และหลายครั้งก็คิดอยากออกมาประกอบกิจการตัวเอง แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี และด้วยความที่เป็นคนไม่กล้าเสี่ยง พอเริ่มเขียนแผนธุรกิจก็จะไม่กล้าออกมาทำจริงซะที ส่วนทางด้านการงาน พอทำงานใช้คอมพิวเตอร์มากๆ ประกอบกับไม่ได้ออกกำลังกาย อาการปวดก็กำเริบ ทำงาน 6 วัน อีก 1 วันไปรักษาตัวด้วยการฝังเข็ม นวดอายุเวท ซึ่งทำให้คิดว่า สุดท้ายต้องทำงานให้ได้เงินเดือนสูงๆเพื่อมารักษาตัวหรือเปล่า หรือ เพราะว่าเราขี้เกียจและใช้คำว่าสุขภาพเป็นข้ออ้าง ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้ชีวิตเหมือนวนอยู่ในอ่าง ไม่ไปในทิศทางไหนสักที จนสุดท้ายต้องกลับมานั่งคิด และ ลาออกจากงานประจำ มุ่งสู่อาชีพอิสระเพื่อเป็น นักวางแผนทางการเงิน ซึ่งทำให้สามารถ balance ชีวิต ไปโยคะสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้งก็ทำให้สุขภาพดีขึ้นตามลำดับ ชีวิตไม่ตกอยู่ในวังวนเดิมๆ แต่สิ่งที่สำคัญคือ ต้องปรับทัศนคติอย่างมาก เพราะรายได้ไม่แน่นอน และในประเทศไทยยังไม่เป็นที่นิยม แต่ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็น CFP ที่ดีให้ได้ ซึ่งขณะนี้รอผลสอบเพื่อขึ้นทะเบียนเป็น AFPT อยู่ค่ะ และมุ่งมั่นในวิชาชีพให้ได้ค่ะ

  4. ธรรมะค่ะ
    อย่าเพิ่งตกใจนะคะ อ่านก่อนค่ะ เดิมเป็นคนทะเยอทะยานดิ้นรนอยากมีเงินเยอะๆ อะไรทำได้ทำหมดจบป.ตรีมาเข้าทำงานบริษัท ถูกส่งให้มาเป็นผจก.ร้านในห้างฯ อยู่ทุกวันเห็นคนขายของมากมาย ก้ออดไม่ได้ไปลงบู้ทขายของมา1ร้านจ้างเด็กดูแล ขายดิบขายดี จนขยายไปอีก2ร้าน แต่ก้อบกพร่องในงานผจก.ร้าน จนในที่สุดเค้าจับได้ ก้อโดนเชิญให้ออก แต่เราก้อไม่หยุดแค่นั้น จนได้โอกาสมาศึกษาลงทุนอสังหาฯ อ่านหนังสือพ่อรวยครบทุกเล่ม มีเป้าหมายจะเกษียณเร็วเกษียณรวย จนมีช่วงนึงของชีวิตที่เข้าวัดไปปฏิบัติธรรมบ่อยๆบางครั้งไป1อาทิตย์ จนถึง1 เดือน ประมาณ3-4ปี เรียกว่าศรัทธาหายใจเข้าออกเป็นธรรมะ ฟังเทศน์ ฟังธรรมะ แล้วก้อทำให้ความอยากมีอยากเป็นก้อลดลง อีกทั้งเกิดความสับสนขัดแย้งในใจว่าจะเดินทางไหนทางโลกทางธรรม ฝืนสวนกระแสสังคมครอบครัวเวลานั้นมากๆ งานประจำที่ทำก้อขอลาออก วางแผนว่าจะดำเนินชีวิตยังไงให้มีเวลาสำหรับพัฒนาใจตัวเอง ทำไงให้มีรายได้พอเลี้ยงชีพโดยไม่ต้องไปทุ่มแรงในการทำงาน ก้อพบว่าต้องมี passive income ง่ายสุดก้อค่าเช่า ก้อค่อยๆทำมา ปรับตัวจากแต่ก่อนใครก้อจะสงสัยถามว่าทำอะไรอยู่ ก้อกระอักกระอ่วน เลยเก็บตัวไม่ค่อยชอบเข้าสังคม ทุกวันนี้ก้อไปได้ตามแผน มีอิสระในชีวิต แต่ต้องอยู่อย่างประหยัด กินใช้เท่าที่จำเป็น เวลาผ่านไปรู้สึกว่าแผนเดิมที่วางไว้ตอนนั้นมันจะไม่พอใช้กับความต้องการที่(แอบ)เพิ่มขึ้น เลยต้องกลับมาเริ่มต้นออม วางแผนลงทุนใหม่ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของเราที่เปลี่ยนไป คิดว่าคงยังไม่สาย ยังพอมีเวลาลงทุน15-20ปี สู้ๆค่ะ

    ปล.ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นตัวฉุดรั้งเราไว้แต่เป็นความเข้าใจ,ประสบการณ์และการประยุกต์ของเราในการเอาธรรมะมาใช้มากกว่าค่ะ สมัยนั้นยังละอ่อนอยู่พอเจอธรรมะก้อจะสุดกู่สุดโต่ง เรียกว่า ปฏิบัติธรรม ไม่สมควรแก่ธรรม ค่ะ

  5. ขอร่วมแชร์ประสบการณ์นะคะ..ไม่เชิงเป็นเรื่องความเจริญก้าวหน้าแต่เป็น”ความใฝ่ฝัน”มากกว่าค่ะ มีความใฝ่ฝันมานานแล้วว่าอยากจะเป็นนักเขียน ไม่ต้องถึงกับมีชื่อเสียงมาก แค่ให้คนได้อ่านงานเขียนของเราแล้วมีความสุข มีรอยยิ้ม หรือเกิดจุดประกายความหวังอะไรบางอย่างก็คงรู้สึกดีแล้ว แต่จนบัดนี้ ความฝันก็ยังคงเป็นความฝันอยู่…ถ้าจะหาสาเหตุจริงๆคงต้องขอเท้าความสักเล็กน้อย..ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กก็ไม่เคยรู้จักหรอกค่ะว่านักเขียนคือใคร แต่ชอบการอ่านมากเพราะคุณพ่อปลูกฝังให้รักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก โดยท่านให้เหตุผลว่า”พ่อกับแม่เรียนมาน้อยความรู้น้อย จึงต้องลำบาก ทำงานหนักอย่างที่ลูกเห็น ถ้าลูกไม่อยากลำบากเหมือนพ่อแม่ให้อ่านหนังสือให้มากๆ ตั้งใจเรียนให้เก่งๆ เพราะอีกหน่อยถ้าลูกเรียนชั้นสูงขึ้นกว่านี้พ่อก็คงไม่สามารถมาสอนการบ้านให้ลูกได้แล้ว มันเกินความรู้ที่พ่อแม่เคยเรียน ลูกต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้” (ที่บ้านฐานะค่อนข้างยากจนค่ะ คุณพ่อคุณแม่เรียนจบชั้น ป.4 ประกอบอาชีพทำนา ท่านทั้งสองตั้งใจมีลูกคนเดียวเพื่อจะได้ส่งเสียให้ได้เรียนสูงที่สุด) และดิฉันก็เชื่อฟังอย่างมากเพราะรับรู้ถึงความลำบากนั้นดี เวลาว่างๆก็มักจะอยู่ในห้องสมุดหาหนังสืออ่านเล่น แรกๆเป็นพวกนิทาน หลังๆก็เริ่มอ่านหลากหลายขึ้น ยิ่งอ่านยิ่งสนุกยิ่งติด (สมัยนั้นยังไม่รู้จัก Internet นะคะ^^ ) จนขึ้นชั้น ม.2 โชคไม่ค่อยดีคุณพ่อเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ก่อนจากท่านก็สั่งเสียไว้ให้ดูแลคุณแม่แทนท่านด้วย อืม..พึ่งตัวเองให้ได้มันคงไม่พอแล้วนะ ต้องเป็นที่พึ่งให้แม่ด้วย ยิ่งต้องขยันอ่านขยันเรียนให้มาก โชคยังดีที่เป็นเด็กเรียนค่อนข้างดีจึงได้ทุนการศึกษามาเรื่อยๆตั้งแต่ประถมจนกระทั่งเรียนจบป.ตรี…ตอนเลือกคณะสอบเอ็นทรานซ์ก็ไม่ได้คิดอะไรมากตอนนั้นเลือกตามเพื่อนค่ะ โชคดีสอบติดและมีผู้มีพระคุณให้ทุนการศึกษา ญาติผู้ใหญ่ก็สนับสนุนให้เรียนเพราะจบมาน่าจะมีอาชีพที่มั่นคง ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเค้ามีคณะที่เรียนเกี่ยวข้องกับการเขียนด้วย พอมาอยู่มหา’ลัยยิ่งตื่นตาตื่นใจเพราะแต่ละคณะมีห้องสมุดเป็นของตนเอง โดยเฉพาะหอสมุดกลางที่ดูใหญ่โตอลังการมีนิยายให้ยืมอ่านฟรีเยอะแยะไปหมด จึงได้กลับเข้าสู่โลกการอ่านอีกครั้ง เริ่มมีนักเขียนที่ชื่นชอบ เริ่มได้รู้จักชีวิตนักเขียน และได้สัมผัสกับนักเขียนตัวเป็นๆก็ตอนนั้นเนื่องจากทางหอสมุดมักจะจัดกิจกรรมและเชิญนักเขียนมาร่วมกิจกรรมด้วย บางท่านก็เป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัยนั่นเอง ยิ่งปลื้มชีวิตนักเขียนมากขึ้น และเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอยากเป็นนักเขียนตอนนั้นเอง แต่ตอนนั้นก็เรียนอยู่ปี 3 แล้ว จะกลับไปเลือกคณะใหม่ก็คงไม่ และตัวเองก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่ควรจะทำแบบนั้นด้วย รีบเรียนให้จบน่าจะดีที่สุดมีงานทำแล้วค่อยว่ากัน แต่ระหว่างนั้นก็หัดเขียนบ้างนะคะ เขียนไว้อ่านคนเดียวยังไม่กล้าให้ใครอ่าน ยกเว้นเขียนจดหมายหาเพื่อน เขียนหาอาจารย์ จำได้ว่าคนแรกที่ชมงานเขียนเราก็คือเพื่อนที่รับจดหมายนั่นเองเพราะเขียนที 3-4 หน้ากระดาษA4 พอเพื่อนตอบกลับมาตอนนั้นดีใจมากว่าอย่างน้อยก็มีคนชอบงานที่เราเขียน จนกระทั่งเรียนจบมีงานทำก็ยังรักการอ่านอยู่เพียงแต่เวลาว่างอาจจะน้อยลงก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองไปก่อนว่าเมื่อยังไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ก็ชอบในสิ่งที่ทำไปก่อน งานที่เราทำอยู่มันก็เป็นสัมมาอาชีวะไม่ได้เลวร้ายอะไร มีคนเคยกล่าวว่าการจะเป็นนักเขียนที่ดีได้ ต้องเป็นนักอ่านที่ดีก่อนสะสมประสบการณ์ไว้ให้มาก (ตอนนี้ก็อ่านเพลินๆไปก่อนละกัน) แต่ลึกๆแล้วยังอยากทำตามความใฝ่ฝันนั้นอยู่
    ทั้งหมดทั้งมวลที่เขียนมานั้นคิดว่าไม่ใช่สาเหตุแท้จริงที่ทำให้ไม่ได้เป็นนักเขียนหรอกค่ะ อาจจะเป็นเพียงบางส่วน คือความไม่รู้ ไม่แน่ใจ ไม่กล้าแค่นั้นเอง แต่สาเหตุที่แท้จริงน่าจะเป็นเพราะตัวเอง ”ไม่ยอมลงมือทำให้จริงจัง”มากกว่า (ทุกวันนี้ยังไม่ได้ทำอะไรไปมากว่าการเขียนบันทึกประจำวัน(ในบางวัน) บันทึกการเดินทางในบางครั้ง แต่งกลอนบ้างบางอารมณ์เท่านั้นเอง) ถ้าจะเทียบตามหลักอิทธิบาท 4 แล้ว ฉันทะ(ความพอใจ รักใคร่ในงาน) นี้มีเต็มร้อย แต่วิริยะ(ความพากเพียร พยายาม) นั้นมีน้อยเหลือเกิน เมื่อวิริยะมีน้อย จิตตะ(ความเอาใจใส่ ฝักใฝ่ในงาน) และวิมังสา(ความหมั่นสอดส่อง พิจารณาหาเหตุหาผล) ก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้.ก็เลยยังได้เป็นแค่นักอ่านในตอนนี้(น่าสงสารความฝันตัวเองจริงๆ T_T)…นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ฉันทะ อย่างเดียวมันยังไม่พอค่ะ” ขอบคุณที่อ่านจนจบ 🙂
    ปล.ขอสละสิทธิ์ในการลุ้นรับหนังสือนะคะ เพราะเพิ่งได้หนังสือจากคุณเอไปเดือนที่แล้ว ตอนนี้อ่านจบแล้วทั้ง ๑๓ เล่ม(รอบที่หนึ่ง) ขอขอบคุณคุณเอมากๆที่ทำให้ได้รู้จักกับชุดหนังสือที่มีค่ามากชุดหนึ่ง(ในสามโลกก็ว่าได้) คิดว่าถ้าตั้งใจศึกษาดีๆและปฏิบัติตามให้ได้อย่างในหนังสือ คงจะเป็นประโยชน์กับทั้งตนเองและเป็นประโยชน์กับผู้อื่นทั้งในโลกนี้จนกระทั่งถึงโลกหน้า ไปจนกว่าจะหลุดพ้นจากสังสารวัฏเลยค่ะ ขออนุโมทนาบุญอีกครั้งนะคะ _/\_

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here